หัวใจ มีหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย โดยการรับเลือดดำเข้าห้องบนขวาแล้วส่งไปยังห้องล่างซ้าย จากนั้นห้องล่างซ้ายส่งเลือดดำที่มีคาร์บอนไดออกไซ์จำนวนมากไปฝอกให้เป็นเลือดแดงที่ปอด แล้วปอดส่งกลับมาที่หัวใจห้องบนซ้ายผ่านเส้นเลือดเอออร์ตา จากนั้นหัวใจห้องบนซ้ายก็ส่งเลือดแดงไปยังห้องล่างซ้าย เพื่อนำไปล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ในแต่ละครั้งที่หัวใจส่งเลือดไปยังแต่ละห้องจะอาศัยการบีบตัวของหัวใจหรือการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการทำงานของลิ้นหัวใจ โดยลิ้นหัวใจจะมีกลุ่มเนื้อเยื้อพิเศษที่คอยสร้างคลื่นไฟฟ้าควบคุมการเต้นหัวใจ ซึ่งคลื่นไฟฟ้านี้อยู่ที่หัวใจห้องบนขวา กลุ่มคลื่นไฟฟ้าเหล่านี้เรียกว่า “ตัวคุมจังหวะของหัวใจ” (Pacemaker) หรือเอสเอโหนด (SA node: Sinoatrial)
ตัวคุมจังหวะของหัวใจ ก็จะส่งคลื่นไฟฟ้าไปยังหัวใจห้องบนขวาและหัวใจห้องบนซ้ายผ่านเนื้อเยื้อพิเศษเล็กๆ เรียกว่า เอวีโหนด (AV node: Atrioventricular node) โดยที่ตัวเอวีดหนดเป็นตัวชะลอให้ส่งคลื่นไฟฟ้าช้าลงเพื่อให้เลือดไหลเข้ามาให้เต็มก่อน จากนั้นก็ส่งไปยังห้องล่างขวาและห้องล่างซ้ายผ่านทางกล้ามเนื้อเยื้อพิเศาที่มีชื่อว่า บันเดิลออฟฮีส (Bundle of His) พร้อมๆกันเช่นกัน
ชีพจร คือ การเต้นของหัวใจโดยหนึ่งครั้ง นับเป็นชีพจรคือหนึ่ง ซึ่งการนับชีพจรสามารถวัดได้จากการคลำเส้นเลือดเส้นที่เต้นแรงหรือเต้นตึบๆ จากบริเวณข้อพับ ตรงคอ ข้อมือ เป็นต้น
ชีพจรปกติ คือ ชีพจรที่วัดแล้วอยู่ในช่วง 60-80 ครั้งต่อนาที โดยประมาณ ซึ่งเราอาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อัตราการเต้นของหัวใจ” โดยที่ชีพจรนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามเพศ วัย อารมณ์ สภาพร่างกาย ความเครียด มีความสุข ถ้าหาก อารมณ์ร้อนๆ ออกกำลังกายมา เครียด หงุดหงิด จะทำให้ชีพจรเต้นเร็ว แต่ถ้าเราอารมณ์ดี นอน มีความสุข สงบนิ่ง ชีพจรเราก็จะเต้นช้า ขณะนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพ
ชีพจรผิดปกติ แบ่งออกเป็น 3 แบบ
- ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ คือการที่เราวัดชีพจรได้มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
- ชีพจรเต้นช้าผิดปกติ คือการที่เราวัดชีพจรได้น้อยว่า 60 ครั้งต่อนาที
- ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือโรคหัวใจเสียจังหวะ คือชีพจรเต้นไม่คงที่ บางครั้งก็ชีพจรก็ต่ำ บางครั้งชีพจรก็สูง ไม่สม่ำเสมอ มีผลข้างเคียงอาจทำให้ใจสั่น หน้ามือ เวียนศรีษะ