ดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่ายการกับใช้ชีวิตประจำวันด้วยการใช้เทคโนโลยี

ปัจจุบันเราได้เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Ageing Society) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า จำนวนผู้สูงอายุในประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากตัวเลขประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี มีจำนวนมากถึงร้อยละ 15 หรือราว 10 ล้านคน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ คือมีอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง เพราะคนสมัยใหม่มีบุตรน้อยลง และบางคนเลือกที่จะไม่มีเพราะมองว่าเป็นภาระ บวกกับวิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำหน้าขึ้น คนไทยมีชีวิตยืนยาวมากยิ่งขึ้น อัตราการเสียชีวิตในแต่ละปีก็ลดลงตามไปด้วย โดยในอีก 20 ปีข้างหน้าได้มีการคาดการณ์ว่าประชากรกลุ่มนี้จะเติบโตขึ้นเป็น 3 เท่า และประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคอาเซียนเป็นรองเพียงแค่สิงคโปร์เท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าสัดส่วนผู้สูงอายุในประเทศของเราจะพุ่งไปถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด

ในประเทศที่มีจำนวนผู้สูงอายุเยอะที่สุดในโลกอย่างญี่ปุ่น  ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาใช้ เช่น หุ่นยนต์ที่ช่วยในการเดินเพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ง่ายขึ้น ในประเทศจีนมีการพัฒนาและทดลองนำหุ่นยนต์มาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเทคโนโลยีนี้ไม่เพียงทดแทนจำนวนแรงงานที่ขาดไปเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกกว่าเท่าตัว รวมทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาดของการผลิตสินค้าแต่ละชิ้นลงได้อีกด้วย หรือในประเทศที่ได้รับอันดับสูงสุดในด้านการดูแลผู้สูงวัยและผู้ป่วยแบบมีคุณภาพอย่างสวีเดน มีการพัฒนาหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เสมือนพยาบาล ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างคนไข้ผู้สูงอายุ กับแพทย์หรือพยาบาลแบบเรียลไทม์

ในอนาคตหลายๆประเทศทั่วโลกจะต้องเผชิญปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ และประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามเราสามารถวางแผนในการรับมือกับการปรับเปลี่ยนทางโครงสร้างของสังคมให้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยการศึกษาตัวอย่างจากหลายๆ ประเทศ ที่สำคัญคือหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนควรเร่งพัฒนาในเรื่องของนวัตกรรม เทคโนโลยี และนโยบายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นมากที่สุด การจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนในอนาคตที่จะต้องเผชิญกับภาวะสังคมผู้สูงวัยนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถสร้างโครงสร้างและสาธารณูปโภคที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้แบบพึ่งพิงตัวเองหรือพึ่งพิงผู้อื่นน้อยที่สุดได้หรือไม่

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับสังคมสูงอายุยังมีอีกหลายด้าน นอกจากการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร เข้าถึงข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้ เรายังสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการศึกษา เทคโนโลยีจะช่วยให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตสำหรับผู้สูงวัย เพราะความรู้เรียนได้ไม่มีสิ้นสุด เพื่อการประกอบอาชีพ เทคโนโลยีจะช่วยในการเพิ่มผลิตภาพการทำงานของผู้สูงอายุ และการดำรงชีวิต เทคโนโลยีช่วยให้มีการพัฒนาวิทยาการทางการแพทย์และการดูแลผู้สูงวัย สำหรับเทคโนโลยี ที่ใช้ในทางการแพทย์และการดูแลผู้สูงอายุ ในประเทศพัฒนามีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในทางการแพทย์และเริ่มนำมาใช้จริงในหลายประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแล้ว ได้แก่ เครื่องตรวจสอบการลื่นล้มของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ใช้ตรวจจับแรงกระแทกขณะลื่นล้ม โดยอุปกรณ์นี้จะส่งสัญญาณผ่านมือถือไปยังลูกหลาน ญาติที่อยู่ใกล้ หรือโรงพยาบาล สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทัน และลดความเสี่ยงต่อความพิการหรือการเสียชีวิตลงได้ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถส่งข้อมูลไปยังเซิฟเวอร์ของโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์สามารถติดตามผลการรักษา และวินิจฉัยโรคทางไกลได้โดยที่คนไข้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาให้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ และพัฒนาตัวเครื่องให้มีขนาดเล็กลง ควบคู่ไปกับการพัฒนาเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องวัดความดันโลหิต เพื่อเตรียมพร้อมในการใช้งานในรูปแบบของ “ระบบดูแลสุขภาพผู้สูงอายุทางไกล” ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในอนาคต

ขอบคุณแหล่งที่มา: https://goo.gl/4tHxPH